Introduction to Signal Flow
"Signal Flow" เป็นคำศัพท์ที่คนจะเป็น Sound Engineer ต้องรู้เป็นอย่างดี คำว่า Signal Flow หมายถึงเส้นทางการเดินทางของสัญญาณในวงจรใดๆก็ตามผ่านอุปกรณ์ต่างๆ อาทิเช่น Signal Flow ของ Mixing Console , Signal Flow ของ Synthesizer
พูดแบบนี้ อาจจะไกลตัวไปนิดนึง เราลองมาพูดถึงอะไรที่ใกล้ตัวและเข้าใจง่ายๆ กันดีกว่า สมมติว่า คุณอยากจะดูซี่รี่ย์เกาหลี คุณจึงไปซื้อดีวีดีเรื่องที่อยากดูมา เพื่อมาเปิดในเครื่องเล่นดีวีดีที่บ้านคุณ สิ่งแรกที่ต้องทำคือ เปิดทีวี...(ไม่งั้นนั่งรอหน้าทีวีเป็นชาติก็ไม่ได้ดู ใช่มั้ย) "อ้าว..แต่ทำไมพอเปิดทีวีมาแล้วเป็นข่าวภาคค่ำอ่ะ เราจะดูซี่รี่ย์ไม่ใช่หรอ?" - ก็เพราะคุณยังไม่ได้เปลี่ยนเป็นช่องที่คุณต่อกับเครื่องเล่นดีวีดีเอาไว้ไง สิ่งที่ต้องทำต่อไปคือ เปลี่ยนช่อง..."อ้าว พอเปิดมาแล้วทำไม ไม่เห็นมีอะไรเลย?" - ก็เพราะคุณยังไม่ได้เปิดเครื่องเล่นดีวีดีไง เมื่อคุณ เปิดเครื่องเล่นดีวีดี แล้วสิ่งที่คุณต้องทำต่อไปคือใส่แผ่นของซี่รี่ย์ที่คุณอยากดู - "อ้าวทำไมภาพยังไม่ขึ้นล่ะ?" - แน่ใจรึยังว่า ใส่แผ่นถูกด้าน แน่ใจรึยังว่าปลั๊กทุกอย่างเสียบแล้ว...."อ้าวทำไมไม่มีเสียง" - คุณเปิดเสียงที่รีโมทรึยัง ถ้ามันเบาไป ให้กด ''+'' เดี๋ยวมันก็จะดังขึ้น
จากการสนทนาข้างบน ผมว่าคนที่ถามนี่ ดูโง่มากเลยนะ ฮ่าๆ เรื่องพวกนี้เราก็รู้ๆกันอยู่ ถ้าคุณไม่ใช่เด็ก 4-5 ขวบที่เพิ่งจะเปิดหนังดูเองครั้งแรก คุณน่าจะรู้เรื่องพวกนี้ดี....ใช่ #Signal Flow ก็เช่นกัน มันไม่ได้มีอะไรซับซ้อนเลยแม้แต่นิดเดียว มันก็เหมือนการเปิดซีรี่ย์เกาหลีดูที่บ้านนั่นแหละ!
จากเรื่องของการเปิดซีรี่ย์เกาหลีดู ทำให้เราสรุป Concept ของ Signal Flow ได้ว่า
"Source to Destination" แปลตรงๆว่า แหล่งที่มา ไปยัง จุดหมายปลายทาง
ถ้ายังงงอยู่ จะอธิบายอีกรอบนะครับ
จาก Source: แผ่นดีวีดี ไปยัง Destination: เครื่องเล่นดีวีดี
จาก Source:เครื่องเล่นดีวีดี ไปยัง Destination: ทีวี
จาก Source: ทีวี ไปยัง Destination: หูและตาของเรา
ถ้าจะพูดให้ลึกและเจาะจงกว่านี้ เราก็จะใช้ศัพท์ทางวิศวะเข้ามาเกี่ยวนั่นคือ ''Output to Input'' ทางออกของอันนึงไปยังทางเข้าของอีกอันนึง
Output จาก เครื่องเล่นดีวีดี ไปยัง Input ของทีวี
Output จาก ทีวี ไปยัง Input ของเรา( หู,ตา)
ถ้าพูดกันอย่างละเอียดแล้ว เราจะเห็นว่า ในขั้นตอนระหว่างแผ่นดีวีดี ไปยัง เครื่องเล่นดีวีดี หรือ เครื่องเล่นดีวีดี ไปยังทีวี ต้องมีกระบวนการต่างๆด้วย เช่นการที่เครื่องเล่นดีวีดีอ่านแผ่นดีวีดี,การที่สัญญาณจากเครื่องเล่นดีวีดีถูกส่งและกลายเป็นสัญญาณภาพบนจอทีวี หรือแม้กระทั่งการที่เรากดเล่น กดหยุด กดข้าม กดถอยหลัง กดเร่งความเร็ว กดเพิ่มเสียง ลดเสียง เราเรียกมันว่า Processor
จึงเขียนออกมาเป็นศัพท์ทางวิศวะได้ว่า
Source: Destination:
=>
(Input->Processor-Output) (Input->Processor-Output)
ต้องจำหลักการนี้ให้ขึ้นใจเหมือนจำชื่อตัวเอง !
"จำ..เพื่ออะไรเหรอ??"
ในการทำงานทุกอย่างเป็นแบบนี้ครับ แต่ถ้าจะเจาะจงในเรื่องของ Sound Engineer มี 2 เหตุผลใหญ่ๆ คือ
1. เพื่อแก้ปัญหาอย่างตรงจุด
ทุกๆครั้งที่เราทำงาน ไม่ว่าจะในสตูดิโอหรือหน้าเวทีคอนเสิร์ต เราต้องเจอกับปัญหาต่างๆตลอดเวลา อุปกรณ์ทุกอย่างที่เราใช้ มันไม่ได้อยู่ตรงนั้นเสมอไป เราจะต้องเป็นคนเซ็ทมันขึ้นมา และเมื่อเราเซ็ทมันขึ้นมา มันอาจจะมีข้อผิดพลาดเกิดขึ้นได้ อาจจะมาจากเราลืมทำอะไรสักอย่างไป หรือ อาจจะมาจากตัวอุปกรณ์เอง การทำความเข้าใจ Signal Flow จึงเป็นหัวใจสำคัญในการแก้ปัญหาต่างๆที่เกิดขึ้น เช่น "ไมค์ไม่ดัง(เสียงไม่ออก)" ... สิ่งที่ต้องคิดและ"ไล่"เช็คคือ เปิดไมค์รึยัง => เสียบสายไมค์กับ Pre-ampรึยัง => ปรับที่ Pre-amp รึยัง => เลือกว่าเป็นสัญญาณ Mic บน Mixer รึยัง => ส่งไปยัง output แล้วหรือยัง => ต่อสายลำโพงรึยัง => ลำโพงเปิดรึยัง...ถ้าผิดพลาดตรงจุดไหน ก็แค่ไปแก้ที่จุดนั้น ซึ่งอาจมากกว่า 1 จุด เราจึงต้องมองที่ Source และ Destination เสมอ ถ้าเราคิดว่าเราทำครบทุกอย่างแล้วแต่ยังไม่เวิร์ค อาจเป็นปัญหาที่ตัวอุปกรณ์หรือสายสัญญาณ ซึ่งถ้ารู้ว่าเกิดขึ้นตรงไหน เราก็แค่ซ่อมมัน หรือเปลี่ยนมัน เท่านั้นเอง
2. เพื่อสร้างงานศิลปะ
เมื่อเราเข้าใจระบบอย่างถ่องแท้ ก็สามารถพลิกแพลง เพื่อให้เกิดงานศิลปะและตอบสนองต่อจินตนาการของเราได้ เช่น เราสามารถ Effect กีตาร์ เจ๋งๆ จาก Signal Processor ธรรมดาๆบน Software ได้ จากการส่งสัญญาณแยกไปยัง Auxilary 3 ที่ ที่แรกใส่ Low cut Filter แล้ว ใส่ Distortion Effect ที่ที่สอง Cut ย่านLow และ High แล้วใส่ Delay กับ Comp. หนักๆ ที่ที่3 อาจจะ Low Pass Filter แล้ว ใส่ Reverb เมื่อ Return มาแล้วมิกซ์รวมกัน ก็อาจจะได้เสียงอะไรที่เจ๋งๆ ขึ้นมาก็ได้ ซึ่งหลักการเหล่านี้ เราก็สามารถนำไปใช้ใน Synthesizer เพื่อสร้างเสียงเจ๋งๆหรือตอบโจทย์ในการทำงานของเราได้เช่นกัน ซึ่งจะดีหรือไม่ดีก็เป็นเรื่องของรสนิยม, ประสบการณ์ และความกล้าที่จะทดลอง แต่แน่นอนว่า ต้องมีพื้นฐานมาจากความเข้าใจในเรื่อง Signal Flow ซะก่อน
ถ้าอ่านแล้วงงว่า อะไรคือ Auxilary แล้วอะไรคือส่งไป Low cut Filter และ delay, comp, reverb e9js=af^*&#jzc นู่นนี่ = = ไม่ต้องกังวลนะครับ อันนี้แค่จะยกตัวอย่างให้รู้ว่าเราทำอะไรกับบนโต๊ะที่มีปุ่มและที่เลื่อนๆเยอะแยะจนตาลายได้บ้าง ซึ่งจริงๆแล้วเมื่อเราทำความรู้จักกับมันดีๆ เราจะรู้ว่ามันมีแค่ไม่กี่ปุ่มหรอก ก็แค่ Copy แล้วก็ Paste ไปยาวๆ เท่านั้นเอง ติดตามตอนต่อไป เราจะพาคุณไปทำความรู้จักกับ " Channel Strip" กันนะครับ สำหรับวันนี้ใครที่มีคำถามหรืออยากแสดงความคิดเห็นก็คอมเม้นกันมาได้เลยครับ ขอบคุณที่ติดตามพวกเรา Horse Power Production ครับ
By Sound Guy
Subscribe to:
Post Comments (Atom)
No comments:
Post a Comment