What is music ?

อะไรคือดนตรี ?

         ถ้าจะให้คำจำกัดความง่ายๆดนตรีคือแขนงหนึ่งของศิลปะที่ว่าด้วยเสียงทุกเสียงที่มนุษย์สร้างขึ้น
ด้วยความตั้งใจ และด้วยความไม่ตั้งใจ จุดประสงค์ของดนตรีมีอยู่หลายอย่าง เช่น เพื่อความบันเทิง เพื่อสรรเสริญ เพื่อสักการะ เพื่อเป็นสัญลักษณ์ เพื่อยกระดับความคิดและจิตใจ และอีกมากมาย 

         ในอดีตมนุษย์สร้างดนตรีมาเพื่อสรรเสริญ, สักการะพระผู้เป็นเจ้า สิ่งที่เขาเชื่อว่าอยู่เหนือธรรมชาติ และเพื่อขับไล่ความกลัวที่มีต่อความเงียบ โดยดนตรีในยุคนั้นส่วนใหญ่จะเป็นการเลียนแบบเสียงในธรรมชาติ (ฟ้าผ่า เสียงสัตว์ etc.) 

         ในยุคต่อมาก็เริ่มทำดนตรีเพื่อความบันเทิง มีการใช้เพื่อประกอบการแสดง ใช้เพื่อเล่าเรื่องราวต่างๆ ดนตรีได้ขยายขอบเขตให้สามัญชนเข้าถึงได้ง่ายขึ้น และในที่สุดดนตรีก็ก้าวขึ้นมาสู่การเป็นศิลปะชั้นสูง มีการประสมวงของเครื่องดนตรีหลายๆชนิด เพลงที่แต่งขึ้นไม่ใช่เพียงเพื่อสักการะพระเจ้า แต่เป็นการสื่อเรื่องราวและอารมณ์ต่างๆ จากนักประพันธ์ลงในกระดาษ ต่อมาให้นักดนตรีตีความ และบรรเลงออกมา เพื่อให้ผู้ชมฟังและตีความอีกต่อหนึ่ง



แล้วทฤษฎีดนตรีเข้ามามีบทบาทตั้งแต่เมื่อไหร่ ?

  มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่พยายามจะหาคำอธิบายให้กับทุกอย่าง ดนตรีก็เช่นกัน ทฤษฎีในยุคแรกๆมีแค่วิธีการปรับเสียงเครื่องดนตรี วิธีการสร้างเครื่องดนตรี แนวการบรรเลงดนตรี ทฤษฎีดนตรีมีส่วนใหญ่มาจากการเฝ้าดูนักดนตรีและนักประพันธ์และพยายามอธิบายถึงวิธีการสร้างดนตรี และพัฒนาขึ้นมาเรื่อยๆ ในปัจจุบัน ทฤษฎีดนตรีจัดว่าเป็นแขนงย่อยของดนตรีวิทยา เป็นวิชาที่ว่าด้วย องค์ประกอบต่างๆที่ทำให้เกิดบทเพลงขึ้นมา เช่น ทำนอง (melody) จังหวะ (rhythm) เสียงประสาน (harmony) โครงสร้าง (form) และยังรวมถึงวิธีในการบรรเลง เทคนิคต่างๆ และการตีความบทเพลงอีกด้วย ในโพสต์นี้เราจะมาพูดถึงทฤษฎีดนตรีตะวันตกกันนะครับ

ส่วนประกอบพื้นฐานของดนตรี

         Pitch - ระดับเสียง เป็นหน่วยที่เล็กที่สุดของดนตรี pitch เป็นสิ่งที่ทำให้คุณรู้ความแตกต่างของเสียงสูงและเสียงต่ำ เช่น middle C และ high C เมื่อหลายๆ pitch ถูกบรรเลง ในเวลาเดียวกันก็จะเกิดเป็นเสียงประสาน (harmony) และหากนำหลายๆ pitch มาเรียงต่อกันก็จะเกิดเป็นทำนอง (melody) การจะบอกระดับของ pitch นั้นสามารถบอกได้จากระดับความถี่ (frequency) ซึ่งเสียงที่สำคัญบางเสียงจะมีชื่อเรียกเฉพาะ เช่น concert pitch นั้นคือเสียง A ซึ่งอยู่เหนือ middle C มีความถี่ 440 Hz


         Rhythm - จังหวะ คือการจัดวางเสียงต่างๆเพื่อให้ดนตรีสามารถเคลื่อนไปได้ เป็นเหมือนกับชีพจรของบทเพลง โดยส่วนใหญ่จะเป็นสิ่งที่แสดงถึงอารมณ์ของบทเพลงนั้นๆ เป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ในดนตรี เราอาจเห็นว่าในบางเพลงเราไม่สามารถที่จะเห็นจังหวะที่แน่นอนได้ แต่นั่นไม่ได้แปลว่าในเพลงนั้น ไม่มีจังหวะอยู่ ตัวอย่างง่ายๆของการจับจังหวะดนตรีคือการตบมือตามเพลง


   Dynamic - ความดังเบาของเสียง ในทางทฤษฎีดนตรีแล้วพวกเราไม่สามารถวัดความดังเบาจริงๆได้ เนื่องจากองค์ประกอบต่างๆของการบรรเลง ณ เวลานั้นๆ เช่น สถานที่ เสียงรบกวน ความดังเบาที่นักดนตรีต้องเล่นออกมาจึงไม่เท่ากันในบางครั้ง โดยทั่วไปในดนตรีคลาสสิก P (piano) แปลว่าเบา F (forte) แปลว่าดังและตัว m (mezzo) แปลว่าค่อนข้าง


         Timbre - สีสันของเสียง หรือลักษณะเด่นเฉพาะของเสียงที่มาจากเครื่องดนตรีหนึ่งๆ เป็นสิ่งที่ทำให้เรารู้ว่าเครื่องดนตรีชนิดอะไรกำลังเล่นอยู่ เช่น เสียงต่ำของ Violin นั้นจะให้ความรู้สึกอบอุ่น หรือเสียงของเครื่องประเภท Low brass (ทูบา เบสทรอมโบน) จะให้ความรู้สึกน่าเกรงขาม สิ่งที่ทำให้เครื่องดนตรีสร้างเสียงที่เป็นเอกลักษณ์ออกมาได้นั้นขึ้นอยู่กับหลายๆองค์ประกอบ เช่น วัสดุที่ใช้ทำเครื่อง วิธีการบรรเลง เทคนิคที่ใช่เล่น ประสบการณ์ของนักดนตรี เป็นสิ่งสำคัญในการเรียบเรียงเพลงให้กับวงดนตรีใหญ่ๆอย่าง Orchestra หรือ Wind symphony

         Melody - ทำนอง เมื่อนำสามข้อแรกมารวมกันแล้วเราจะได้สิ่งนี้ขึ้นมา พื้นฐานแล้วทำนองคือสิ่งที่ทำให้ ดนตรีสามารถเคลื่อนตัวไปได้ ส่วนใหญ่เป็นชุดเสียงที่เคลื่อนตัวเข้าหาจุดไคลแมกซ์ แล้วคลายตัวลงจนหยุดไป เป็นการเชื่อมเสียงต่างๆในแนวนอน แต่ก็มีดนตรีบางประเภทที่ไม่มีทำนองเช่นกัน (Film score บางเพลง, ambient) สรุปได้ว่าดนตรีไม่จำเป็นต้องมีทำนองเสมอไป


         Harmony - เสียงประสาน คือการนำ pitch มากกว่า 2 pitch ขึ้นไปมาบรรเลงพร้อมกัน เป็นการเชื่อมเสียงต่างๆในแนวตั้ง ในทางทฤษฎีจะรวมไปถึงการใช้ chord ประเภทต่างๆและ การเรียงตัวกันของคอร์ดด้วย โดยพื้นฐานเราสามารถแยก harmony ออกได้เป็นสองแบบ คือ consonant (เสียงที่กลมกลืนกัน) และ dissonant (เสียงที่ไม่กลมกลืนกัน) ซึ่งผมจะมาเขียนในโพสต์ต่อๆไปนะครับ


         Articulation - คือรายละเอียดในการเล่นเสียงหนึ่งๆ marcato แปลว่าเน้น tenuto คือการเล่นให้เต็มจังหวะ legoto คือการเล่นให้เสียงหนึ่งเชื่อมกับอีกเสียงหนึ่ง etc. articulation นั้นเป็นการบอกว่าเสียงที่ออกมา ควรจะมีลักษณะอย่าง ไม่ใช่เสียงนี้ควรจะเล่นอย่างไร ดังนั้นใน articulation หนึ่งๆนั้นจึงสามารถ ใช้เทคนิคมากมายในการเล่น เช่น วิธีการเล่น staccato (การเล่นให้เสียงแยกกัน) ในเครื่องสายนั้น มีเทคนิคในการเล่นมากกว่า 1 อย่าง


         Form - โครงสร้างของบทเพลง คุณอาจจะไม่เคยรู้ว่าในเพลงมันต้องมีโครงสร้างด้วยหรอ ? แล้วทำไมต้องมีล่ะ คำตอบคือต้องมีนะครับ เป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ในการเขียนงานดนตรีชนิดใดๆก็ตาม form เป็นสิ่งที่จะทำให้คุณสามารถเรียบเรียง วางตำแหน่งเนื้อหา และไอเดียของบทเพลงได้ ไม่ใช่แค่ในดนตรีคลาสสิคเท่านั้นแต่ในดนตรีป๊อปก็จำเป็นต้องมี form (ซึ่งอันที่จริงแล้วมันก็พัฒนามาจาก form ของดนตรีคลาสสิกนั่นแหละ! ) โครงสร้างที่เราจะเห็นบ่อยๆคือ Interlude - Verse - Bridge - Chorus (Hook) - Verse II - Bridge - Chorus II (Hook) - Outro

หากใครมีคำถาม หรืออยากพูดคุยเกี่ยวกับเนื้อหาก็สามารถ comment ได้เลยนะครับ

ขอบคุณที่ติดตามพวกเรา Horse Power Production ครับ

by Five Lines

No comments:

Post a Comment