1 Year Hungary. Departure.

วันนั้นสนามบินคนเยอะมาก มีทั้งนักเรียนที่จะไปแลกเปลี่ยน เพื่อนๆและผู้ปกครอง ต่างยกทัพเครือญาติทั้งหลายมาส่ง จะเป็นช่วงที่พวกเด็กแลกเปลี่ยนลำบากใจมาก เพราะไม่รู้จะไปคุยกับใครก่อนดี จะไปคุยกับครอบครัวก็เกรงใจเพื่อน จะไปยืนอยู่กับเพื่อนก็อึดอัดสายตาญาติๆ บรรยากาศเต็มไปด้วยความเสียใจ ความไม่แน่ใจ และความตื่นเต้น


หลังจากเช็คอินเสร็จจะมีเวลาประมาณ 2 ชม. ก่อนจะเทคออฟ ช่วงสุดท้ายที่จะได้เห็น ได้กอดครอบครัวและเพื่อนๆก่อนที่จะก้าวไปชีวิตนักเรียนแลกเปลี่ยน บางคนก็ถ่ายรูป บางคนก็พูดคุย มีน้ำตาซึมบ้าง ในที่สุดก็ต้องไปรอที่เกต

วันนั้นผมนอนอยู่บ้านครับ เนื่องจากวีซ่ามีปัญหา แก้ไม่ทันเพราะสถานฑูตปิด หรืออะไรก็แล้วแต่ ทำให้ต้องเลื่อนไฟลต์ไปอีก 2 อาทิตย์ ทำให้ไม่ได้เดินทางพร้อมกับกลุ่มใหญ่

ข้อดีของการได้เลื่อนไฟลต์ทำให้เรามีเวลาเตรียมตัวมากขึ้นครับ แต่ก็ทำให้เซ็งไปบ้างเหมือนกัน ความรู้สึกตื่นเต้นที่ก่อตัวมาตั้งแต่เมลล์แรกที่โฮสส่งมาให้มันรั่วออกไปหมด เหมือนกับลูกโป่งถูกเจาะ ที่แย่ที่สุดคือหลังจากไปถึงจะไม่มีเวลาทำความคุ้นเคยกับบ้านเลย เพราะโรงเรียนในยุโรปเปิดเทอมกันตอนต้นเดือนกันยา

ในที่สุดก็ถึงวันเดินทาง

ข้อดีอีกอย่างที่ไม่ได้เดินทางกับกลุ่มใหญ่คือคนไม่แน่นครับ วันนั้นสนามบินโล่งมาก ไฟลต์ออกห้าทุ่มครึ่ง ไปถึงสนามบินตั้งแต่หกโมง กินข้าวมันไก่เป็นครั้งสุดท้ายของปีนี้ เพื่อนๆญาติๆก็มาส่งกันพอสมควร แล้วไปเช็คอิน

ปรากฎว่าน้ำหนักเกิน

เป็นคำเตือนไว้กับคนอื่นๆที่จะเดินทางไปไหนก็ตามนะครับ ถ้ารู้ตัวว่าน้ำหนักกระเป๋าที่จะโหลดใต้เครื่องเกินมาเนี่ยให้เตรียมถูงหรือกระเป๋าใบเล็กๆที่คิดว่าถือขึ้นเครื่องได้มาสองสามใบ เพราะบางทีสายการบินก็หยวนๆให้ แต่ถ้าโชคร้าย เราก็ต้องถ่ายของมาหิ้วขึ้นเครื่องแทน ซึ่งจำนวนน้ำหนักที่เขาให้ถือขึ้นเนี่ย ไม่จำกัดครับ ถ้ามีแรงถือได้ก็ถือไป วันนั้นผมเลยได้แฮนด์แครี่เพิ่มมาอีกสองใบ จากที่มีอยู่แล้วใบนึง

ช่วงก่อนที่จะต้องเดินเข้าเทอร์มินอลนี่เหมือนกับมีใครมากดปุ่ม Fast Forward เดี๋ยวๆก็ยืนคุยกับพ่อแม่ เดี๋ยวๆก็ไปคุยกับเพื่อนๆ เดี๋ยวๆก็ขอบคุณอาจารย์ที่มาส่ง เดี๋ยวๆก็ต้องไปรับเอกสารที่ต้องใช้ เดี๋ยวๆก็ถ่ายรูปรวม เดี๋ยวๆก็เข้าเทอมินอล

เดี๋ยวๆก็นั่งมองสัญลักษณ์ที่บอกให้รัดเข็มขัดขณะเครื่องกำลังเทคออฟ

ไปถึงสนามบินอิสตันบูลตอนตีห้าครึ่ง มีเวลาพักประมาณหกชม. ไฟลต์ไปบูดาเปสออกตอน 12.15 พวกเราเลยไปนั่งพักนอนพักกันในห้องพักผู้โดยสารขาออก สนามบินตอนตีห้าครึ่งนี่ร้างมาก คนที่นั่งมาในไฟลต์เดียวกันก็พากันกลับบ้านกันหมด จนในที่สุดก็เหลือพวกเรา 6 คนนั่งอยู่กับภารโรงและผู้โดยสารอีกสองสามคน จนถึงประมาณสายๆก็ผลัดกันเดินไปดูบอร์ดว่าต้องไปเข้าเกตที่เท่าไหร่ จะได้ไม่ลนตอนถึงเวลา

เพื่อนปวดท้อง

การเดินทางครั้งนี้มาพร้อมกับเพื่อนอีก 5 คน ซึ่งไอ้คนนี้เป็นคนเดียวที่ไม่ได้หลับบนเครื่องเลย เพราะปวดท้องมากๆ ขอยาบนเครื่องก็ไม่ได้ เพราะต้องมีใบรับรองแพทย์ (เคยได้ยินมาว่าสารเคมีบางตัวใช้เพื่อการก่อการร้ายได้ แอร์โฮสเตทจึงจ่ายยาให้ผู้โดยสารเองไม่ได้) เลยทนมาตลอดไฟลท์แล้วหลับไปตอนที่มาถึง ตอนนั้นเวลาประมาณ 10 โมงเรากับเพื่อนคนนั้นก็ไปเดินหาห้องพยาบาลกัน สนามบินตั้งใหญ่แม่งต้องมีอยู่สักห้องละ

หลังจากเดินวนทั้งสนามบินอยู่สองสามรอบ ถามยาม ดูแผนที่อยู่ประมาณครึ่งชม.ก็ต้องยอมรับว่ามันไม่มีห้องพยาบาลครับ ตอนนั้นรู้สึกว่าสนามบินที่นี่แม่งไม่มี logic เลย ถ้าผู้โดยสารหรือลูกเรือเป็นอะไรขึ้นมาจะทำยังไงวะ หลังจากคุยกับประชาสัมพันธ์อยู่สักพักเขาก็เข้าใจว่าเรามีคนป่วยและบอกว่าจะเรียกหมอจากรพ.ใกล้ๆมาให้

ตอนนั้น 11 โมง

ไฟลต์ไปบูดาเปสออกตอนเที่ยงสิบห้า

สักพักก็มีหมอหิ้วกล่องพยาบาลสนามเข้ามาตรวจให้ แล้วก็จดชื่อยาที่จำเป็นให้ ซึ่งในสนามบินนี้ก็ไม่มีร้านยาอีก เลยต้องฝากเจ้าหน้าที่อีกคนไปซื้อจากข้างนอกแล้วเอามาให้ตรงส่วนที่เชื่อมระหว่างหน้าเทอร์มินัลและห้องผู้โดยสารขาเข้า ส่วนที่ว่านี้อยู่ปลายขวาสุดของสนามบิน ในขณะที่ตอนนี้เราอยู่ตรงปลายซ้ายสุดของสนามบิน เหลือบมองนาฬิกาอีกที 11.30

มองบอร์ดผ่านๆเห็นเกตที่จะต้องไปขึ้นอยู่ปลายซ้ายสุดของสนามบิน

11.45 วิ่งมาถึงส่วนเชื่อมที่จะรับยา

12.08 ได้รับยา แต่ไม่มีเงินทอน เราจึงต้องไปแลกเหรียญกับร้านใกล้ๆ

12.10 ได้ยินเสียงประกาศเรียกไฟลต์ตัวเองดังมา ตอนนั้นรู้สึกได้ว่าวิ่งเร็วกว่าตอนไปฝึกที่เขาชนไก่อีก

"The flight to Budapest will departs in 5 minutes."

อ่านหนังสือประสบการณ์เมืองนอกมาสองสามเล่มไม่นึกว่าตัวเองต้องมาเจอกับเหตุการณ์แบบนี้จริงๆ ในหัวนี่คิดเลยว่าถ้าตกเครื่องต้องทำยังไง ต้องเสียเงินเพิ่มมั้ย พ่อแม่ด่ามั้ย จะถูกส่งกลับรึเปล่า นี่ชีวิตแลกเปลี่ยนต้องจบตั้งแต่ยังไม่ทันเริ่มเลยเรอะ (เวอร์ละๆ)

สุดท้ายก็ทันแบบฉิวเฉียด ได้บินไปบูดาเปสแบบเหนื่อยๆ

มาคิดดูอีกทีการที่เราเจอสิ่งที่ไม่คาดคิดระหว่างการเดินทางก็เป็นเสน่ห์อย่างหนึ่ง เพราะเหตุผลที่เราออกเดินทางก็เพื่อค้นหาสิ่งใหม่ๆ ประสบการณ์แปลกๆ และได้เจอเพื่อนใหม่ ถ้าถามว่าตอนนั้นหงุดหงิดไหมที่ต้องวิ่งรอบสนามบินสองสามรอบ บอกเลยว่ามาก แต่ไม่เคยเสียใจที่ได้ทำ เช่นเดียวกับหลายๆอย่างหลายๆคนที่เข้ามาในชีวิต จะพบว่าไม่มีอะไรที่แย่ไปซะหมด หรือดีไปหมดเช่นกัน

“We travel, some of us forever, to seek other states, other lives, other souls.”
-Anaïs Nin

ขอบคุณที่ติดตามพวกเรา Horse Power Production ครับ

By Five Lines

No comments:

Post a Comment