1 year Hungary. Prologue

"ไม่รีบสมัครหรอ ไปได้แค่ม.ปลายนะ"

"แน่ใจหรอ"

"อย่าเสียใจทีหลังละกัน"

ในชีวิตคนเราจะมีโอกาสสักกี่ครั้งที่จะได้ไปใช้ชีวิตในต่างแดนมากกว่าแค่ไปเที่ยว ?

ทุกวันนี้เรายังจำคำพูดของแม่เมื่อสมัยอยู่ม. 4 ได้ทุกคำ ตอนนั้นแม่อยากให้ไปแลกเปลี่ยนมาก เป็นความฝันของแม่มาตั้งแต่เด็กๆ แต่แม่ไม่เคยมีโอกาส จึงได้ถ่ายทอดความฝันนั้นลงมาที่เรา

เราเป็นคนแปลก เวลาพ่อแม่อยากให้ทำอะไร ไม่ว่ามันจะดีแค่ไหนแต่เราก็จะรู้สึกไม่อยากทำทุกที

เอาเป็นว่าปีนั้นไม่ได้สมัคร เนื่องจากความงี่เง่าของเราที่เพิ่งอธิบายไปนั่นแหละ

แต่ไม่รู้ว่าเพราะอะไรเหมือนกัน อาจเป็นเพราะเบื่อถนนกรุงเทพ (ที่แม่งโคตรติด) เบื่อการเมือง (เอาแต่ปิดถนน) เบื่อนู่นเบื่อนี่ ในที่สุดก็โหลดใบสมัครไปสอบแลกเปลี่ยนจนได้ ตอนนั้นเป็นช่วงที่ลุ้นมาก เนื่องจากโครงการที่เราไปสอบเป็นโครงการสำหรับนร.ม.ปลาย แต่ช่วงที่เราจะไป (ถ้าสอบได้) นั้นเราจะจบม.ปลายแล้ว แต่อายุยังได้อยู่ (ต่ำกว่า 18) ผมเลยมีสิทธิ์สอบ

ถ้าจำไม่ผิด ประเทศที่เลือกไปคือเบลเยี่ยมและเชค ส่วนประเทศที่ได้ก็ดูจากโพสละกันนะ

พูดตามตรง หลังจากสอบติดก็ยังไม่แน่ใจเหมือนกันว่าเป็นทางเลือกที่ถูกหรือเปล่า ส่วนหนึ่งเพราะเห็นเพื่อนๆไปสอบเมืองนอกติด (มีเพื่อนสนิทอยู่ 3 คน คนนึงติดสวีเดน คนนึงติดอังกฤษ คนนึงติดออสเตรเลีย) ดูมีแผนในการหาความรู้เข้าสมองและพัฒนาทักษะส่วนตัว ส่วนหนึ่งอาจเพราะเราเรียนสายดนตรีมา การซ้อมและหาความรู้เข้าหัวทุกวันมันสำคัญมาก มองกลับมาที่ตัวเอง กลับไปเรียนม.ปลายอีกรอบ ในรร.ที่สอนวิชาที่ไม่ได้เรียนมา 2 ปีเต็มๆ อาจเป็นการโยน 1 ปีของชีวิตเราเข้าไปในความผิดหวังและไร้ประโยชน์ การไปแลกเปลี่ยนในรร.ที่อาจจะทำให้เราไม่สามารถพัฒนาตัวเองได้เต็มที่จึงเป็นอะไรที่ดูไม่ค่อยเข้าท่านัก บอกตามตรงว่าผิดหวังเล็กๆที่ตัวเองติด

เห้ย แต่ถ้าไม่ไปตอนนี้ก็ไม่โอกาสแล้วนะเว้ย

คำว่า Once in  a life time. นี่มันมีอิทธิพลกับการตัดสินใจมาก อาจจะบวกด้วยความขี้เกียจนิดหน่อย(อ้าว มึงไม่ต้องพัฒนาตัวเองทุกวันแล้วหรอ พารากราฟบนนี่แหลสัสๆ) ความอยากเที่ยวนิดนึง(ยุโรปเลยนะเว้ย !!!) สุดท้ายทั้งหมดก็ผสมกันออกมาเป็นประโยคสุดคลาสสิก

"เพื่อประสบการณ์"

ทั้งๆที่ตอนนั้นยังไม่รู้เลยว่าประสบการณ์คือที่ว่าจะมีประโยชน์หรือไม่

ทุกวันนี้ถึงคิดได้ว่าบางครั้งเวลาที่เสียไปกับการชื่นชมดอกไม้ริมทาง วิ่งไล่จับผีเสื้อ นอนพักดูเมฆลอยไปมา นั้นมีค่ามากกว่าการเดินไปบ้านคุณยายแบบตรงๆ ซื่อๆ มากนัก เพราะอย่างน้อยมันอาจทำให้เรารู้ว่าที่จริงดอกไม้ไม่ได้มีแต่กลิ่นหอม อย่าขยี้ตาหลังจีบผีเสื้อ หรือก้อนเมฆแบบไหนที่เป็นสัญญานเตือนว่าฝนจะตก

หากมีครั้งไหนที่สงสัยว่ามันจะเป็นการตัดสินใจที่ดีหรือเปล่า คุ้มค่าหรือเปล่า ก็ขอให้คิดไว้ว่าไม่มีการเดินทางครั้งใดที่ไร้ประโยชน์ เพราะเมื่อคุณเริ่มก้าวใหม่ คุณจะหันกลับมามองโลกใบเดิม ด้วยสายตาที่ไม่เหมือนเดิม

"Why do you go away ? So that you can come back. So that you can see the place you came from with the new eyes and extra colors. And the people there see you different too. Coming back to where you started is not the same as never leaving."
-Terry Pretchett

"ไม่รีบสมัครหรอ ไปได้แค่ม.ปลายนะ"

By Five Lines

No comments:

Post a Comment